ปัจจุบันโลกของเราได้ถูกพัฒนาไปข้างหน้าแบบไม่มีหยุด ซึ่งเราเรียกสิ่งเหล่านี้ว่า ‘เทคโนโลยี’ แน่นอนว่ามันได้ถูกพัฒนาในทุก ๆ ด้าน เพื่อให้มนุษย์โลกมีความสุข สะดวกสบาย และจัดการการใช้ชีวิตได้ง่ายกว่าเก่า
รถยนต์ไร้คนขับ อีกก้าวสำคัญของวงการยานยนต์
และเทคโนโลยีที่เป็นที่ตั้งตารอของคนทั่วโลกเกี่ยวกับวงการยานยนต์ในตอนนี้ นั่นคือ ยานยนต์ไร้คนขับ หรือ Autonomous Car ซึ่งส่วนหนึ่งที่ทำให้คนสนใจนวัตกรรมชิ้นนี้เป็นเพราะปัจจุบันโลกของเราต้องประสบกับพลังงานโลกที่ไม่สะอาด การใช้น้ำมัน และการใช้เชื้อเพลิงที่ส่งผลทางด้านลบ
ดังนั้น ผู้ใช้หลายคนจึงต้องการรถยนต์ที่นำเอาพลังงานสะอาดต่อสิ่งแวดล้อมมาใช้กันมากขึ้น เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการยับยั้งปัญหาโลกร้อนที่หนักขึ้น และในตอนนี้ก็มีบริษัทยักษ์ใหญ่หลาย ๆ แห่ง เริ่มมีการพัฒนาระบบดังกล่าวกันแบบจริงจัง อีกทั้งยังมีแนวโน้มว่ายานยนต์ไร้คนขับเหล่านี้จะเข้าสู่ตลาดโลกได้เร็วกว่าที่คิดอีกด้วย

รถยนต์ไร้คนขับปลอดภัยจริง หรืออิงกระแส
หลายคนตั้งคำถามว่ายานยนต์ไร้คนขับที่ไม่ได้ถูกบังคับโดยมนุษย์จะปลอดภัยจริง ๆ หรือ? ซึ่งแท้จริงแล้วสาเหตุที่ผู้ผลิตยานยนต์ได้มีการพัฒนารถยนต์ไร้คนขับขึ้นมา ส่วนหนึ่งก็เพื่อต้องการลดอุบัติเหตุบนท้องถนนที่มาจากฝีมือมนุษย์ เพราะระบบสามารถคำนวณได้อย่างแม่นยำตามกฎจราจรของพื้นที่นั้น ๆ รวมไปถึงอำนวยความสะดวกให้กับมนุษย์ที่มีข้อจำกัดทางร่างกาย เช่น ผู้สูงอายุ หรือผู้พิการที่ไม่สามารถขับรถเองได้ ให้ใช้งานได้ง่ายและปลอดภัย โดยเทคโนโลยียานยนต์ไร้คนขับที่ถูกนำมาใช้เพื่อความปลอดภัย ประกอบด้วย
Computer Vision
- เป็นระบบที่ทำหน้าที่เสมือนตาและหูของรถยนต์อัตโนมัติ ที่จะมีการตรวจจับการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมรอบรถขณะที่รถกำลังขับเคลื่อน
Deep Learning
- ระบบประมวลผลปัญญาประดิษฐ์ (AI) ทำหน้าที่เหมือนกับสมอง ช่วยให้รถสามารถตัดสินใจและขับเคลื่อนได้ด้วยตัวเอง จากการประมวลผลข้อมูลที่รับมาจาก Computer Vision
Robotic
- เป็นระบบที่เชื่อมต่อระบบประมวลผลส่วนกลางให้เข้ากับเครื่องจักรต่าง ๆ ของตัวรถ ทำหน้าที่เหมือนเส้นประสาทที่เชื่อมสมองมนุษย์เข้ากับองค์ประกอบในร่างกายนั่นเอง
Navigation
- เป็นระบบแผนที่ที่จะมีทั้งการระบุตำแหน่งของรถยนต์อัตโนมัติจากดาวเทียม และระบบแผนที่เสมือนจริงที่ได้เก็บรวบรวมข้อมูลเอาไว้ในคลังดิจิทัล นอกจากนี้ยังได้เก็บรวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการวิ่งบนถนนด้วย เช่น ตำแหน่งไฟจราจร, ตำแหน่งม้าลาย, ป้ายสัญญาณจราจร, ความเร็วสูงสุดที่กฎหมายกำหนด ฯลฯ และยังใช้ระบบ Navigation ประมวลผลร่วมกับระบบ Sensor เพื่อความแม่นยำและความถูกต้องในการตัดสินใจด้วย

รถยนต์ไร้คนขับเข้ามาเร็วเท่าไหร่ คนเสี่ยงตกงานไวขึ้นเท่านั้น
ยิ่งระบบอัตโนมัติมีมากขึ้นเท่าไหร่ มนุษย์เราก็กลัวที่จะต้องรับความเสี่ยงในการตกงานมากขึ้นเท่านั้น เหตุผลนี้อาจจะเป็นความจริง และแน่นอนว่ามันไม่ใช่เรื่องจริงแบบ 100% เพราะการกระทำบางอย่าง เช่น การซ่อมบำรุง การดูแลรักษา หรืออื่น ๆ ยังคงต้องใช้พลังงานคนเป็นพลังงานหลักอยู่
แต่อีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้หลายคนคิดไม่ตก โดยเฉพาะ ‘พนักงานขับรถ’ คือ หากรถยนต์ไร้คนขับเข้ามาจริง ๆ แล้วพวกเขาเหล่านี้จะไปอยู่ไหน? ซึ่งเรื่องนี้หากถามว่าน่าเห็นใจไหมตอบเลยว่ามาก แต่อย่างที่ได้บอกไปว่ารถไม่สามารถจะซ่อมแซมตัวเองได้ เพราะฉะนั้นอาชีพขับรถหรือพนักงานขับรถ ก็ต้องปรับตัวและเรียนรู้ทักษะใหม่ ๆ เกี่ยวกับการบำรุงรักษา ตั้งค่าโปรแกรม และเรียนรู้ระบบต่าง ๆ ของรถยนต์อัตโนมัติ เพียงเท่านี้มันก็สร้างผลลัพธ์ทางบวกให้กับคุณได้แล้ว

และหากยานยนต์ไร้คนขับเข้าสู่ตลาดในไทยแล้ว เราก็คิดว่ายังคงต้องทดสอบอะไรหลาย ๆ อย่างอย่างแม่นยำก่อนเปิดจำหน่ายแน่นอน ส่วนหนึ่งเป็นเพราะพฤติกรรมการขับรถของคนไทย ที่ค่อนข้างเสี่ยง ถนนในไทยที่ไม่ราบเรียบทุกเส้นทาง การทำประกันรถยนต์ชั้น 1 รวมไปถึงเรื่องความปลอดภัยอื่น ๆ เพราะฉะนั้นเรื่องประเด็นการว่างงานคงจะอีกสักพักใหญ่ ๆ ระหว่างนี้ก็มุ่งมั่นพัฒนาตัวเอง หรือปรับตัวรอไว้จะดีที่สุด